ลักษณะของการให้คำปรึกษาที่ดี
ผู้ให้คำปรึกษาอาจจะเป็นใครก็ได้ที่ยอมรับและเข้าใจความทุกข์ของผู้รับคำปรึกษา และพร้อมที่จะเรียนรู้วิธีการช่วยเหลือผู้ที่มีความทุกข์ให้สามารถปรับตัวเอง ให้มีชีวิตอยู่ในครอบครัว และสังคมต่อไปได้อย่างไม่ทุกข์มากจนเกินไป ผู้ที่จะทำหน้าที่ให้คำปรึกษาได้ดี ควรมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
1. มีความรู้ ความเข้าใจเรื่องต่างๆ ที่ให้คำปรึกษาอย่างถูกต้อง
2. มีความเข้าใจคุณค่าความต้องการและความสัมพันธ์ระหว่างสุขภาพร่างกายและสุขภาพจิตของมนุษย์ เคารพในสิทธิส่วนบุคคลที่จะเลือกตัดสินการดำเนินชีวิตของตนเอง
3. มีใจเป็นกลาง ยอมรับสภาพตามความเป็นจริงของผู้มีปัญหา
4. มีความเข้าใจเห็นอกเห็นใจความทุกข์ของผู้รับคำปรึกษาหรือสังคม ที่เกี่ยวข้อง
5. พร้อมที่จะเรียนรู้ขั้นตอนการให้คำปรึกษาเชิงจิตวิทยา และฝึกฝนวิธีการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นจนเกิดความชำนาญเพื่อให้สามารถช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นได้ อย่างเหมาะสม
6. สามารถเก็บรักษาความลับของคนอื่นได้หากต้องนำเรื่องราวเหล่านี้ไปปรึกษา ผู้อื่นจะต้องปกปิดหลักฐานการเปิดเผยตัวผู้นั้น เช่น ชื่อ - สกุล ที่อยู่
7. มีความประพฤติที่เหมาะสมเป็นแบบอย่างที่ดีได้ ยึดหลักธรรมพรหมวิหาร 4 ประจำจิตได้แก่
เมตตา คือความอยากให้เขามีความสุข
กรุณา คือความอยากให้เขาพ้นทุกข์
มุทิตา คือความยินดีเมื่อเขามีความสุข
อุเบกขา คือการวางเฉยเมื่อช่วยเขาได้เพียงเท่านี้
8. พร้อมที่จะเสียสละเวลาให้แก่ผู้รับคำปรึกษาอย่างเต็มที่ แม้ว่าบางครั้งอาจต้องไปเยี่ยมเยือนผู้รับคำปรึกษาหรือผู้เกี่ยวข้อง ตามความต้องการของผู้รับคำปรึกษา
วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
ทฤษฏีครอบครัว
1.ครอบครัวเป็นหน่วยทางอารมณ์
( The
Family as
an emotional unit
2.สมาชิกแต่ละคนจะมีความผูกพันกัน
ประสานกัน
และติดต่อเกี่ยวข้องกัน ( A network of interlocking
Relationships )
3.
จะเข้าใจครอบครัวมากยิ่งขึ้น หากสามารถวิเคราะห์
เกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับบรรพบุรุษ
ทักษะในการให้คำปรึกษา
ทักษะในการให้คำปรึกษา
1. ทักษะเบื้องต้นในการใส่ใจ(Basic Attending Skills)
1.1 พฤติกรรมการใส่ใจ ได้แก่ การประสานสายตา
การใช้ภาษากายที่เหมาะสม น้ำเสียง การแสดงออกทาง
สีหน้าและการพูดที่สอดคล้องหรือการตอบสนองด้วย
คำพูด
1.2 ทักษะการใช้คำถาม
คำถามปลายเปิด : เปิดโอกาสให้ผู้รับคำปรึกษาได้แสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ คำถามปลายเปิดมักมีคำต่อไปนี้ อะไร อย่างไร ที่ไหน เมื่อไร แต่ให้หลีกเลี่ยงคำว่า ทำไม เพราะจะทำให้ผู้รับคำปรึกษาเกิดความรู้สึกว่าตนเองถูกตำหนิ และ เกิดการต่อต้าน
1.3 ทักษะการฟัง
จุดมุ่งหมายหลักของการฟัง คือ
1. เข้าใจพฤติกรรมที่ไม่ใช่ภาษาพูด
2. เข้าใจพฤติกรรมที่เป็นภาษาพูด
3. เข้าใจผู้รับคำปรึกษาในฐานะเป็นบุคคลคนหนึ่ง
1.4 ทักษะการกระตุ้นเพียงเล็กน้อย ( Minimal Encouragement )
เป็นวิธีการหนึ่งที่ผู้ให้คำปรึกษาใช้ภาษาท่าทาง เช่น ผงกศีรษะ และ ท่าทางที่แสดงความใส่ใจ และภาษาพูดสั้น ๆ เพื่อแสดงให้ผู้รับคำปรึกษารับรู้ถึงความสนใจที่จะติดตามเรื่องราว และส่งเสริมให้เขาหรือเธอเล่าเรื่องต่อไป
1.5 ทักษะการทวนความ
เป็นวิธีการหนึ่งที่ผู้ให้คำปรึกษาใช้ในการส่งข่าวสารกลับไปยังผู้รับคำปรึกษา เพื่อตอบสนองสิ่งที่เขาหรือเธอกำลังรับฟังอยู่ โดยการเล่าถึงเนื้อหา และ ความหมายนั้นเสียใหม่ ด้วยคำพูดของผู้ให้คำปรึกษา
1.6 ทักษะการสะท้อนความรู้สึก
เป็นวิธีการหนึ่งของกระบวนการฟัง เพราะเป็นการที่ผู้ให้คำปรึกษาใช้ในการส่งข่าวสารกลับไปยังผู้รับคำปรึกษา เพื่อตอบสนองสิ่งที่เขาหรือเธอกำลังรับฟังอยู่ เช่นเดียวกับการทวนความ แต่ต่างกันที่การสะท้อนความรู้สึกจะเลือกเฉพาะส่วนที่เป็นอารมณ์และความรู้สึกของผู้รับคำปรึกษาเท่านั้น
1.7. ทักษะการสรุป
เพื่อรวบรวมความคิด และ ความรู้สึกที่สับสนกระจัดกระจายให้เป็นกลุ่ม หรือ เป็นการสรุปความสำคัญ ๆ ในกรณีที่มีการสนทนายาว ๆ เพื่อตรวจสอบความเข้าใจระหว่างผู้ให้ปรึกษาและผู้รับคำปรึกษา เพื่อช่วยเตรียมตัวผู้รับคำปรึกษาให้พร้อมก่อนที่จะให้คำปรึกษาครั้งต่อไป
แนวปฏิบัติที่องค์กรวิชาชีพและกฎหมายกำหนด ด้านจรรยาบรรณ
1. ผู้ให้คำปรึกษาต้องไม่พยายามที่จะให้ความช่วยเหลือผู้รับคำปรึกษาโดยที่ไม่มีความรู้ ทักษะ การฝึกฝน
2. ผู้ให้คำปรึกษาต้องไม่มีอคติ และ ความลำเอียง
3. ผู้ให้คำปรึกษาต้องไม่มีความสัมพันธ์หรือเกี่ยวข้องทางเพศกับผู้รับคำปรึกษา
4. ผู้ให้คำปรึกษาจะคุ้มครองสิทธิของผู้รับคำปรึกษา
และรักษาความลับของผู้รับคำปรึกษา เว้นแต่สถานการณ์ที่เป็นอันตรายต่อชีวิตและความผาสุขของตนเองและผู้อื่น
5. ผู้ให้คำปรึกษาต้องคงไว้ซึ่งการปฏิบัติงานที่มีมาตรฐานของความซื่อสัตย์ จริงใจ และ มีคุณธรรมในระดับสูง
6. ผู้ให้คำปรึกษาต้องรับผิดชอบที่จะรับการฝึกอบรม เพิ่มเติม และ พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ต้องไม่พยายามที่จะให้ความช่วยเหลือผู้รับคำ
2. ผู้ให้คำปรึกษาต้องไม่มีอคติ และ ความลำเอียง
3. ผู้ให้คำปรึกษาต้องไม่มีความสัมพันธ์หรือเกี่ยวข้องทางเพศกับผู้รับคำปรึกษา
4. ผู้ให้คำปรึกษาจะคุ้มครองสิทธิของผู้รับคำปรึกษา
และรักษาความลับของผู้รับคำปรึกษา เว้นแต่สถานการณ์ที่เป็นอันตรายต่อชีวิตและความผาสุขของตนเองและผู้อื่น
5. ผู้ให้คำปรึกษาต้องคงไว้ซึ่งการปฏิบัติงานที่มีมาตรฐานของความซื่อสัตย์ จริงใจ และ มีคุณธรรมในระดับสูง
6. ผู้ให้คำปรึกษาต้องรับผิดชอบที่จะรับการฝึกอบรม เพิ่มเติม และ พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ต้องไม่พยายามที่จะให้ความช่วยเหลือผู้รับคำ
แนวคิดการให้คำปรึกษาครอบครัว
1. เน้นกระบวนการที่เกิดขึ้นภายนอกจิตใจ มากกว่าภายในจิตใจ
2. เพ่งเล็งที่ระบบทั้งหมด
3. มองปัญหาแบบวงจรไม่มองแบบเส้นตรง
4. สนใจว่าปัญหาดำเนินอยู่ได้อย่างไรและมีบาทอย่างไร
5. มุ่งที่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
เป้าหมายในการให้คำปรึกษาครอบครัว
→ ทำให้เกิดสภาพการณ์ใหม่ ซึ่งจะทำให้ครอบครัวปรับเปลี่ยนโครงสร้าง ระบบความสัมพันธ์ของตนให้เหมาะสมกว่าเดิม
Change in relationship context in order to Restructure family
organization and change
Disfunctional transactional patterns.
การให้คำปรึกษาครอบครัว
มองภาพครอบครัวเป็นระบบ
▆ ▇ █ █ ระบบในครอบครัวประกอบด้วย
1.เพศ (Gender)
2.ระบบสามี ภรรยา (The spouse Subsystem)
3.ระบบพ่อแม่ (The parentla Subsyst
▆ ▇ █ █ ระบบในครอบครัวประกอบด้วย
1.เพศ (Gender)
2.ระบบสามี ภรรยา (The spouse Subsystem)
3.ระบบพ่อแม่ (The parentla Subsyst
วิธีป้องกันแก้ไขปัญหาครอบครัว
การป้องกันปัญหาครอบครัว จะต้องคำนึงถึงทั้งตัวบุคคลในครอบครัว และสิ่งแวดล้อมภายนอก หลักในการป้องกันควรคำนึงถึง
๑. การเลือกคู่ครองที่ดี
๒. การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว
๓. แสดงบทบาทตามสถานภาพของตน
๔. ยึดมั่นในคุณธรรมสำหรับผู้ครองเรือน
๕. ให้การศึกษาอบรม
ปัญหาความตึงเครียดในครอบครัว วิธีการแก้ไขอาจกระทำโดย
๑. การขอคำปรึกษาแนะนำจากหน่วยงานให้คำแนะนำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาครอบครัวเพื่อจะได้ใช้เป็นตัวกลางในการปรับตัวเข้าหากัน
๒. การปรึกษาหาทางปรับตัวเข้าหากัน โดยทั้ง ๒ ฝ่ายยินดีจะฟังความคิดเห็นของอีกฝ่ายหนึ่ง
๓. การหันไปพิจารณาคำสอนทางศาสนา
๔. การหย่าร้างหรือแยกกันอยู่ ซึ่งจะใช้เป็นวิธีท้ายสุด
ผลของปัญหาครอบครัว
1. ทำให้สมาชิกในครอบครัวเกิดพฤติกรรมเบี่ยงเบน
2. บุคลิกภาพและสุขภาพกายสุขภาพจิตของ
สมาชิกในครอบครัว
สมาชิกในครอบครัว
3. ทำให้เกิดการค้าประเวณี
4. ทำให้เกิดปัญหาวัยรุ่น
5. ทำให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจ
6. ครอบครัวมีปัญหา
สาเหตุของปัญหาในครอบครัว
♦ ความตึงเครียดในครอบครัว
♦การขัดกันในครอบครัว
อาจแยกออกได้ ๒ลักษณะ คือ การขัดกันทางส่วนตัว (Personal Conflict)กับการขัดกันโดยทางเศรษฐกิจและสังคม (Socioeconomic Conflict)
♦การหย่าร้าง
การหย่าร้างของคู่สมรสในต่างสังคมกัน ย่อมมีอัตราแตกต่างกันไป ทั้งนี้เพราะความแตกต่างกันในเรื่องของศาสนา วัฒนธรรม และค่านิยม อย่างเช่น ในสังคมที่นับถือศาสนานิกายโรมันคาทอลิก อัตราการหย่าร้างจะต่ำกว่าในสังคมที่นับถือนิกายโปรเตสแตนต์และคนที่อยู่ในชนบทซึ่งมีอาชีพทางการเกษตร ย่อมมีการหย่าร้างน้อยกว่าคนในเมือง Scarpitti พบว่าใน ปี ค.ศ. 1971 ในสหรัฐอเมริกา อัตราการหย่าร้างของชาวชนบทมี ๑.๘ ต่อ ๑,๐๐๐ คน ในขณะที่อัตราการหย่าร้างในเมืองเป็น ๕.๓ ต่อ ๑,๐๐๐ คน
ครอบครัว คือ ?
ครอบครัว คือ สถาบันมูลฐานของมนุษยชาติ เป็นหน่วยขนาดเล็กที่สุดของสังคม เป็นผู้สร้างและกำหนดสถานภาพ สิทธิ หน้าที่ของบุคคลอันพึงปฏิบัติต่อกันในสังคม เป็นสถาบันแห่งแรกในการถ่ายทอดวัฒนธรรมและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพของสังคมและประเทศชาติ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)